แมทเทอร์ฮอร์น ยอดเขาช็อคโกแล็ต

ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นนี้ ถ้าจะให้ได้จินตนาการกันได้ก็คือ ยอดเขาที่ปลายหัก และเป็นสัญลักษณ์ของโลโก้ของช็อคโกแลตยี่ห้อหนึ่งที่เราคุ้นเคยและได้ยินกันมานาน และบางท่านอาจไม่เคยสังเกต นั่นคือ “ช็อคโกแลตยี่ห้อท็อปเบอร์โลน”

และแน่นอนที่นี่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่นี่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เรามีความสุขได้ค่ะ

การเดินทางที่นิยมทำกันคือนั่งไฟสายโรแมนติก Glacier Express ค่อยๆไต่ระดับเขาขึ้นมายังเมืองเซอร์แมท ในระหว่างทางเหมือนจะถูกจัดฉากให้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ เพราะตั้งแต่จำความได้ภาพเหล่านี้จะอยู่แค่ในจินตนาการ หรือเห็นแต่แค่ในหนัง อยากอยู่ในความฝันแบบนี้ตลอดไป

และแล้วเมื่อความจริงกลับสวยงามกว่าความฝันมากกว่า 10 เท่า สวยขนาด รายการ Discovery Channel มาถ่ายทำสารคดีรถไฟที่สวยที่สุดในโลก เราก็มีส่วนร่วมขบวนนั้นๆ เห็นการถ่ายทำของรายการระดับโลกไม่ใช่เรื่องเล็ก

ทุกอย่างต้องชิงไหวชิงพริบ ทำงานแข่งกับเวลา สู้กับสภาวะอากาศ เห็นการทำงานของทีมงานมีความเป็นมืออาชีพไม่น้อย เมื่อใดที่รถไฟผ่านทะเลสาบสีเขียวบนหุบเขาและแม้แต่ หรือผ่านหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยริ้วหิมะ กว่าจะเล็งกล้อง กว่าจะกดชัตเตอร์ผ่านกระจกบานใหญ่ ในขณะที่รถไฟเคลื่อนที่ตลอด ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายมากนัก เมื่อการกดชัตเตอร์ครั้งหนึ่งแต่ฟ้าไม่เป็นใจก็ต้องมานั่งเริ่มใหม่โดย นั่งรถไฟ ขึ้นเขาลงเขา วนไปมาวันละ 10 รอบเพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพ ก็ต้องใช้ความเชี่ยวชาญระดับ 10 (ผู้ชายที่ยืนหันหลังคือ 1 ในทีมค่ะ) พวกเค้าจะเดินไปเดินมาตลอด

รถไฟมีเวลาแวะที่สถานีแห่งหนึ่ง แค่ 3 นาทีทีมงาน Discovery Channel ก็วิ่งกันลงไปถ่ายรูปกันไม่ยั้งราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองเป็นการทำงานที่มีทีมเวิร์คดีมาก อะไรที่ถ่ายพลาดพวกเค้าต้องนั่งรถไฟไปกลับแบบนี้ทั้งวัน แก้แล้วแก้อีกจนกว่าจะ ได้มาแบบสมบูรณ์แบบ

การนั่งรถไฟไปเที่ยวยอดเขาเที่ยวนี้เห็นอะไรมากมายทั้งชีวิตหนุ่มสาว คู่รักสูงอายุ 2 ตายาย ครอบครัวที่แสนน่ารักอีกทั้งในขบบวนยังเห็นการทำงานของรายการระดับโลก รวมถึงทีมของ Loft Travel ก็สู้ตายไม่ถอยเหมือนกัน

กดชัตเตอร์แข่งกันสนั่นหวั่นไหว แต่สิ่งที่ชอบมารยาทของตากล้องนั่นคือ การให้เกียรติกัน การแบ่งปันพื้นที่ การมีน้ำใจ การผูกมิตร และความเกรงใจซึ่งกันและกันสุดท้ายทีมเราก็รู้จักทีม Discovery Channel ทั้งทีม มาถึงตอนนี้ขอขอบคุณสำหรับมิตรภาพเพื่อนร่วมโลก เมื่อรถไฟถึงสถานี ที่ Zermatt และเราก็ลาจากกันด้วยกันแลกนามบัตรกันอย่างสนุกสนาน

พอลงจากรถไฟเราก็มีรถโรงแรมเล็กๆ มารอรับไปที่โรงแรมเพราะก่อนขึ้นไปชมยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นแนะนำให้พักที่เมืองเซอร์แมท เมืองนี้เป็นเมืองที่น่ารักเมืองเล็กๆที่ไม่อนุญาตให้รถใหญ่เข้ามาที่นี่ได้ ดังนั้นรับรองได้ว่าเมืองนี้ปลอดมลพิษแน่นอนค่ะ และเมืองนี้ท่านสามารถเดินเล่นได้ทั่ว สบายๆแถมยังมีที่ร้านอาหารฟองดูว์ ที่แสนอร่อย มีร้านขายของน่ารักหรือแม้แต่ร้านขายนาฬิกาแบรนด์ดังอย่าง Rolex ก็มีให้ท่านเลือกชม และมีหลายร้านด้วยนะคะ

สำหรับโรงแรมแต่ละที่ในเมืองนี้มีตั้งแต่ 2-5 ดาวเลยค่ะ แต่ถ้าจะขอแนะนำโรงแรมที่เคยไปพักนะคะเป็นระดับ 4.5 ดาวเลยค่ะ เช่น โรงแรม Mirabeau Hotel Zermatt Hotel มีถึง 2 ส่วนโรงแรมนี้มีทั้งภัตตาคารหรูหราที่สามารถนั่งทานอาหารและเห็นวิวยอดเขาไคลท์แมทเทอฮอร์น แถมมีสปาที่ลูกเจ้าของเองเค้านำเสนอว่าเคยมาศึกษาดูงานเกี่ยวกับเรื่องสปาที่เมืองไทยถึง 2 ปี ที่อนันตราของเรานี่เอง ฉะนั้นโรงแรมเค้าเด่นทุกเรื่องค่ะโรงแรมนี้ไม่ว่าอาหาร ก็ควบคุมคุณภาพสะอาดและอร่อยถูกปากแขกที่มาพักมาก เพราะเจ้าของลงมาควบคุมเอง ดูเอง ชิมเอง เสริฟเอง ส่วนเรื่องความสวยงามของโรงแรมไม่ต้องพูดถึงเพราะภรรยาเจ้าของออกแบบตกแต่งเอง เนื่องจากเธอเรียนจบสถาปนิกมาเลยค่ะ

การขึ้นเขาก็จะมีกระเข้านำท่านขึ้นไป 3 Steps คือการขึ้นกระเช้าจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขา และเปลี่ยนกระเช้าถึง 3 รอบ ส่วนใหญ่เราจะเห็นนักท่องเที่ยว ที่เท่ห์ที่สุด จะเห็นนักสกี เกินสวนไปมาในระหว่างการเปลี่ยนกระเช้า

พอขึ้นไปถึงไคลน์แมทเทอฮอร์น เราก็สามารถออกมาชมวิวและสามารถเห็นยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นได้ถ้าวันไหนฟ้าเปิด ยิ่งสวยแสงหิมะสะท้อนกับแสงอาทิตย์สว่างไสว อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของนักเล่นสกีนิยมมาเล่นสกีที่นี่กัน เรียกกันชนิดที่ว่าเมื่อถึงฤดูหนาวโรงแรมเต็มกันยาวเป็นเดือนเลยค่ะ เพราะที่นี่สวยจริงๆ ข้างบนมีถ้ำแข็งแกะสลักสวยงาม ที่เราเรียกว่า Glacier Paradise เราจะเห็นการแกะสลักน้ำแข็งเป็นรูปต่างๆและมีไฟส่อง เป็นสีๆสดใส

ส่วนข้างบนท่านไม่ชอบความหนาวก็สามารถนั่งเล่นในภัตตาคารชมวิวข้างนอกได้นะคะ หลังจากความสนุกสนานข้างบนแล้วตอนเย็นท่านสามารถลงมาช็อปปิ้ง เดินเล่นในเมือง

เย็นนี้เมนูสุดพิเศษมากกว่าฟองดูว์คือเนื้อควายสดทำเป็นทาร์ทาร์และเสริฟพร้อมเนื้อควายแล่บางๆกินกับมอลเซลาล่าชีส รสชาดเวลาทานจะมีความหวานจากเนื้อบวกกับความเปรี้ยวของ…..และผสมกับความเค็มมันของชีสเข้ากันเป็นอย่างดีนะคะ