มงแซงค์มิเชลล์ ตอนที่ 1

มงแซงค์มิเชลเมืองเกาะกลางน้ำ ในประเทศฝรั่งเศส

ที่มีคำร่ำลือว่า เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวมีสถิติมาเที่ยวเยอะที่สุดในฝรั่งเศส ทริปที่ผ่านมาไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่านั่งรถไฟผ่านไปผ่านมา ระหว่างปารีสและ Saint Malo ทั้ง ๆ ที่ St.Malo ห่างจาก Mont Saint Michel เพียงแค่ 50 กิโลเมตรเท่านั้น

ที่ไม่เลือกแวะไปที่มงแซงค์มิเชล เพราะตอนนั้นไม่ได้เช่ารถขับจึงต้องเปลี่ยนรถไฟหลายสถานี กว่าจะต่อรถไฟ กว่าจะต่อรถโค้ช และอีกอย่างกระเป๋า หนัก 20 กิโลกรัม คงแบกกันตับแลบ กว่าจะไปถึงตัวเกาะ

วันแรกเมือไปถึงปารีสแผนการเดินทาง Sector แรก ก็มาที่นี่แหล่ะค่ะ แพลนนี้ก็คิดไว้จากเมืองไทยแล้ว ว่าจะลองไปให้ถึงมงแซงค์มิเชลจึงจองโรงแรม 2 คืน

และเช่ารถจากสนามบินชาร์ลเดอโกลด์ตรงไปที่ Mont Saint Michel เลย เพราะว่าไม่อยากนั่งรถไฟแล้วเหนื่อย เปลี่ยนหลายสถานี จากสนามบินชาร์ลเดอโกลด์ นอนหลับตลอดทาง เพราะ Jet Lag นั่งไปประมาณ  4 ชั่วโมง ก็ถึงแล้ว

ดังนั้นแนะนำให้ไปกับทัวร์หรือเช่ารถขับจะดีมากๆ เพราะเค้ามีที่จอดให้และดูแลอย่างดี อีกทั้ง มงแซงค์มิเชลเค้าไม่อนุญาตเอารถเข้าไปในเกาะด้วยนะคะ

ใครที่มาโดยรถโค้ช รถตัวเองหรือรถเช่า ก็จะสบายหน่อยถึงแม้รถจะจอดข้างนอกก็ตาม แต่เค้าจะมี Shutter Bus รับส่ง หรือไม่ท่านใดที่อยากนั่งรถม้า ก็มีบริการนะคะ สำหรับท่านที่จะพักค้างคืน แนะนำให้แยกกระเป๋าใบเล็กไปนะคะ นี่เป็นบรรยากาศ ทางเข้าเพื่อเข้าเกาะก่อนหน้าจะถึงเกาะก็มีที่พักเรียงราย 2 ข้างทาง

ณ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เก่าแก่มาก และมีความเป็นมาอันยาวนาน และที่สำคัญมีความมหัศจจรย์ ของธรรมชาติปรากฎอยู่ นั่นคือปรากฎการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง บริเวณรอบๆเกาะ ซึ่งน้ำที่ขึ้นลงนี้ จะขึ้นแบบรวดเร็ว บางทีเมื่อเวลาน้ำลดก็จะมีคนไปเดินเล่นบนทราย หรือเอารถเข้าไปจอดบริเวณนั้น แต่เมื่อเวลาน้ำขึ้นก็ขึ้นมาท่วมอย่างรวดเร็ว และถึงขนาดท่วมเข้ามาข้างในรถ ตอนนี้ทางรัฐบาลก็เริ่มสร้างเขื่อนกันน้ำเพิ่มเติมตรงทางเข้าไปยังตัวเกาะอีกด้วยค่ะ

การปรับตัวของมนุษย์เพื่อให้เข้ากับธรรมชาติ เปรียบเสมือนการเอาตัวรอด

ซึ่งมงแซงค์มิเชลนี้สมัยก่อนนักแสวงบุญจะขึ้นไปยังวัดบนยอดเขา และบริเวณรอบเกาะก็จะล้อมไปด้วยทะเลที่มีน้ำขึ้น น้ำลง อยู่ตลอดเวลา และจะมีผู้คนที่เข้าไปในเกาะนั้นก็อาจจะติดอยู่บนเกาะเป็นเดือนๆ ซึ่งสามารถจินตนาการ ได้ว่าอาหารขาดแคลน

ดังนั้นจึงมีหญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อว่า แอน   ที่ได้ค้นพบภัตตารคารบนเกาะนั้น และ เธอได้แต่งงานกับ วิคเตอร์ ปูลาร์ด อีกทั้งเธอเป็นคนที่มีน้ำใจและใจบุญ จึงได้ทำออมเล็ต ให้นักแสวงบุญได้ทานกันในช่วงติดเกาะ

ถ้าท่านใดที่ได้มีโอกาสไปเที่ยว มงแซงค์มิเชลแนะนำให้ไปลองออมเล็ตที่ร้าน Le Mere Poulard (แม่ปูลาร์ด)ซึ่งเป็นไข่เจียว หรือ ออมเล็ตที่มีประวัติอันยาวนาน และว่ากันว่า อร่อยที่สุดในโลก เพราะรังสรรค์ด้วยการทำทีละเมนู บนกะทะที่ทำด้วยทองแดง กลางเตาไฟ

อีกทั้ง Le Mere Poulard ยังเป็นร้านอาหารที่เดินเข้าไปในเกาะแล้วเจอเลย ถ้าจะให้ดีท่านสามารถพัก โรงแรม Le Mere Poulard ซึ่งอยู่ด้านบนร้านอาหาร ซึ่งโรงแรมนี้มี 4 ชั้น

แต่บอกท่านใดที่ไปพักที่นี่แล้ว โรงแรมไม่มี Lift ดังนั้นควรนำกระเป๋าใบเล็กไปนะคะ

บรรยากาศภายในห้องก็ไม่ธรรมดา เป็นแบบโบราณสไตล์คลาสสิค

ถ้าได้ห้องที่มีวิวดี ก็จะเห็นบรรยากาศภายนอกเกาะและท่านจะได้เห็นน้ำขึ้นน้ำลง

โรงแรมก็จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน สามารถทะลุได้หลายทาง สามารถทะลุไปทางเดินขึ้น Abbey ได้ และมีระเบียงหิน ให้เราได้ออกไปถ่ายรูปและชมวิว ข้างนอกได้สุดลูกหูลูกตาได้ค่ะ

โรงแรม Le Mere Poulard จะเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในมงแซงค์มิเชลล์ ก็ว่าได้สำหรับท่านใดที่พักก็จะมีอาหารเช้าไว้ให้ท่านรับประทานชั้น 2 นัว่าเป็นโรงแรมเก่าที่สวยมากสไตล์คลาสสิคกันเลยทีเดียวค่า^^

ตอนนี้เราก็เยี่ยมชมบรรยากาศด้านล่างของมงแซงค์มิเชลกัน แล้วเดี๋ยวเราไปเยี่ยมชมกันบนวัดบนยอดเกาะกันที่ มงแซงค์มิเชลล์ ตอนที่ 2 คลิกที่นี่ นะคะ^^